วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2558

ประวัติ หลวงพ่อสาย ปาโมกโข วัดตะเคียนราม

เทพเจ้าแห่งอีสานใต้ จอมขมังเวทย์สืบพระเวทย์จากเขากุเลน ประเทศเขมร
เปี่ยมล้นด้วยเมตตามหาบารมี

ประวัติพระครูประกาศธรรมวัตร ( สาย ปาโมกโข )
เจ้าอาวาสวัดตะเคียนราม ตำบล ห้วยติ๊กชู (ตะเคียนราม) อำเภอ ขุขันธ์ (ภูสิงห์)จังหวัดศรีสะเกษ


ชาติกำเนิด
พระครูประกาศธรรมวัติ มีนามเดิมว่า สาย ฉายา ปาโมกโข นามสกุล บุตะเคียน เกิดเมื่อวันที่ 5 เดือนตุลาคม พุทธศักราช 2483 ณ. บ้านเลขที่ 10 หมู่ที่ 2 บ้านตะเคียนตะวันตก ตำบลปรือใหญ่ (ต่อมาเปลี่ยนเป็นตำบลโคกตาล และได้เปลี่ยนเป็นตำบลตะเคียนรามในปัจจุบัน) อำเภอขุขันธ์ (ปัจจุบันแยกเป็นอำเภอภูสิงห์)จังหวัดศรีสะเกษ เป็นบุตรของพ่อพรหม และแม่เว็ด บุตะเคียน มีพี่น้องร่วมบิดาเดียวกัน 3 คนคือ
1.นางพวง บุตะเคียน
2.นายชัย บุตะเคียน
3.นายแซม บุตะเคียน
มีพี่น้องร่วมมารดาเดียวกันอีก 2 คน คือ
1.นางญา บุตะเคียน
2.พระครูประกาศธรรมวัตร (สาย ปาโมกโข)
รวมพี่น้องทั้งหมด 5 คน พระครูประกาศธรรมวัตรเป็นคนสุดท้อง
ชีวิตในวัยเด็ก
เนื่องจากพ่อแม่เป็นชาวนามีฐานะยากจน จึงต้องช่วยพ่อแม่และพี่ๆทำงานตั้งแต่เด็ก หุงข้าว ขุดปู ตามกำลังที่จะช่วยได้ เรียนในโรงเรียนประถมศึกษาในโรงเรียนประชาบาลจนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 พออ่านออกเขียนได้พอวันหยุดก็ไปเลี้ยงควายกับเพื่อนบ้าน ขณะนั้นได้มีลูกตาเบ๊าะหรือตาฤาษี(หลวงปู่สรวง) มาพักเจริญภาวนาที่กระท่อมริมห้วย มีโอกาสได้ปรนนิบัติโดยการตักน้ำหาฝืนต้มน้ำถวายท่านตามที่ท่านจะเรียกใช้ ได้เห็นอิทธิปาฏิหาริย์เหนือมนุษย์ธรรมดาของ”ลูกตาเบ๊าะ”หลายครั้ง จึงเกิดศรัทธามีความสนใจในเรื่องฤทธิ์เรื่องเดช อภินิหาร วิทยาอาคมมาตั้งแต่เด็ก

บรรพชาเป็นสามเณร
เมื่อเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 แล้วได้ตัดสินใจเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ตามธรรมเนียมโบราณกาลที่นิยมให้บุตรหลานบวชเรียนแต่เด็กๆ จะได้เป็นคนดีมีคุณธรรม และได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดปราสาทใต้ ตำบล ห้วยเหนือ (ปัจจุบันเป็นตำบลห้วยใต้) อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 14 เดือน พฤษภาคม พุทธศักราช 2500 ได้มาพักจำพรรษาที่วัดตะเคียนราม ในระหว่างที่บวชเป็นสามเณรอยู่นั้น มีความเพียรพยายาม มุมาณะศึกษา เล่าเรียน ท่องบทค้นคว้าหาความรู้ ตามหน้าที่ของนักบวชทางพระพุทธศาสนาหลายอย่างเช่น
1 ท่องบทสวดเจ็ดตำนานจบ และสวดได้คล่องทุกบท
2 เรียนเทศน์คัมภีร์ใบลานภาษาขอม โดยเรียนอักขระภาษาขอม จนสามารถอ่านออกเขียนจนแตกฉานได้เป็นอย่างดี
3 ศึกษาปริยัติธรรมแผนกธรรม (นักธรรมชั้นตรี) โดยเดินเท้าเปล่าไปเรียนที่สำนักศึกษาปริยัติธรรมที่สำนักศาสนศึกษาวัดปรือคัน จนกระทั่งในปี 2502 ก็สามารถสอบไล่ได้นักธรรมตรี ซึ่งสอบได้น้อยมาก
อุปสมบถเป็นพระภิกษุ
เมื่ออายุครบอุปสมบท สามเณรสาย บุตะเคียน ได้รับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ. พัทธสีมาวัดปราสาทใต้ ตำบลห้วยเหนือ อำเภอ ขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยมีพระครูโสภิธรรมขันธ์ (เอี้ยง ภคุโณ)เจ้าคณะอำเภอวัดกลาง (อัมรินทราวาส) ตำบลห้วยเหนือ อำเภอ ขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากอุปสมบทที่วัดปราสาทใต้แล้วก็กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดตะเคียนราม ในช่วงที่เป็นพระภิกษุนี้ ได้เรียนรู้อักขระขอมได้แตกฉานยิ่งขึ้น
ศึกษาเวทย์อาคม
ดินแดนอีสานใต้สมัยก่อนนั้น เป็นดินแดน แห่งมนตราอาคมไสยเวทย์ มีครูบาอาจารย์ที่เก่งกล้าในวิชาไสยศาสตร์ ทั้งไสยขาวและไสยดำมาตั้งแต่โบราณกาล มีการศึกษาเล่าเรียนสืบทอดกันมาเป็นเวลาอันยาวนาน เช่นวิชาป้องกันรักษาตัว หนังเหนียว อยู่ยงคงกระพันชาตรี กันและแก้ถอดถอนคุณไสยผูกปากสัตว์ร้ายด้วยเวทย์มนต์ เสน่ห์เมตตามหานิยม วิชากำบังตน ล่องหน ย่นระยะทาง และวิชาทำร้ายทำลายผู้อื่นด้วยศาสตร์ลึกลับเช่น ฝังหุ่น เสกหนัง เสกตะปู เสกกรรไกรเข้าท้องบังพัน บิดไส้ เสกด้ายให้เป็นงู เสกใบพรูให้เป็นแมงป่อง ผีโพง ยาสั่ง วิชาเหล่านี้มีครูอาจารย์ที่เก่งกล้าทั้งคฤหัสถ์และฆราวาสในเขต เมืองขุขันธ์ และอำเภอใกล้เคียง แถบชายแดนไทยเขมร ซึ่งหลวงพ่อได้เลือกศึกษาศาสตร์ที่ดีสามารถช่วยเหลือรักษาผู้ที่เดือดร้อนรวมถึงวิชาที่จำเป็นในการป้องกันตัว จากอาจารย์จอมขมังเวทย์ที่เป็นฆราวาสชาวไทยห้าท่าน และอาจารย์เมืองเขมรกำพูชาอีกสิบห้าท่าน นอกจากศึกษาวิทยาอาคมแล้วท่านยังได้ศึกษาสมถะกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานทั้งสายเขมรและสายไทยจนเจนจบและได้ออกธุดงค์ในสถานที่ต่างๆทั้งในประเทศไทยและเขมรมีประสบการณ์มากมายท่านเล่าให้ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดฟัง
ออกธุดงค์
ในปี พ.ศ. 2503 เมื่อหลวงพ่อสาย ปาโมกโข ท่านได้ศึกษาวิชากรรมฐาน จากอาจารย์กุจ จนจบหลักสูตร และได้รับการถ่ายทอดวิชา จาก “ลูกตาเบ๊าะ” หรือหลวงปู่สรวงแล้ว ท่านมีความประสงค์ที่จะออกไปปฏิบัติธรรมในป่าเขา เพื่อเป็นการทดสอบจิตใจ และความรู้ที่ได้ศึกษามา จึงได้ออกธุดงค์ไปในเทือกเขาพนมดงรัก โดยมีอาจารย์กุจ ซึ่งเป็นฆราวาสและอาจารย์ล้อม มักทายกของวัด ร่วมเดินทางไปด้วย
เริ่มออกจากวัดมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ไปที่ ตาบัลลังก์ ซึ่งเป็นปราสาทเก่าแก่ปรักหักพัง เป็นสถานที่เงียบสงัด หลวงพ่อได้ปฏิบัติธรรม อยู่ที่แห่งนี้ 1 คืน จึงถอดกลด มุ่งตรงไปยังเขาพระบาท (พระบาทภูสิงห์) สมัยนั้นเป็นป่าทึบ รกชัฏ มีหุบเหว ถ้ำ อยู่ตามรอบเขา บริเวณเชิงเขามีรอยเท้าขนาดใหญ่ ชาวบ้านเรียกกันว่า “ ลวงตาเบ๊าะตาปรม” (รอยเท้าฤษีดาบส หรือพระพรหม) ทางทิศตะวันออกของเขา เป็นถ้ำขนาดใหญ่ ภายในถ้ำเป็นพื้นหินเรียบ มีน้ำหยดจากผนังสามารถดื่มได้ ลึกเข้าไปมีพระพุทธรูป หินทรายตั้งชิดติดผนัง
นิมิตเห็นนางเทพธิดา
หลวงพ่อได้ปฏิบัติธรรม ในถ้ำแห่งนี้พอจิตสงบ ปรากฏกลิ่นหอมฟุ้งขึ้นมา เป็นกลิ่นที่บอกไม่ถูกว่าหอมอย่างไร แตกต่างจากกลิ่นน้ำหอม น้ำอบทั่วไป สักพักก็ปรากฏมีนางเทพธิดาสี่ห้าองค์ปรากฏกายเดินตรงเข้ามาหาหลวงพ่อ เข้ามากราบแล้วถามหลวงพ่อว่า “ท่านมีธุระอะไรหรือ ถึงได้มาอยู่ที่นี่ ท่านมาหาอะไรหรือ” หลวงพ่อไม่พูดตอบ ยังคงนั่งเฉยสังเกตดูอากัปกิริยาและรูปร่างหน้าตาของแต่ละองค์ ล้วนแต่สวยสดงดงามหาที่เปรียบไม่ได้ มารยาทก็เรียบร้อยสำเนียงพูดอ่อนหวานไพเราะจับใจ เมื่อหลวงพ่อไม่ตอบนางเทพธิดาเหล่านั้นก็กราบลากลับไป”หลวงพ่อเล่าว่านางเทพธิดาเหล่านั้นพูดภาษาไทยไม่ได้พูดภาษาถิ่น” และตั้งแต่ได้เห็นนางเทพธิดา ภาพแห่งความงามนี้ฝังติดตรึงใจหลับตาครั้งใดก็เห็นแต่นางเทพธิดา ทำให้จิตฟุ้งซ่านหวั่นไหว อยากเห็นอีก และนางเทพธิดาก็ปรากฏกายให้เห็นเกือบทุกวัน ในช่วงที่พำนักอยู่ในถ้ำพระ การเจริญภาวนาไม่รุดหน้า จิตเริ่มหวั่นไหว หลวงพ่อจึงพิจารณาถึงความไม่เที่ยงแท้ของสรรพสิ่ง ทุกสิ่งล้วนแต่เป็นภาพลวงตา ที่เห็นนี้ก็เป็นเพียงภาพมายามาขัดขวางการปฏิบัติของนักบำเพ็ญเพียร เจริญภาวนาเมื่อพิจารณาอย่างนี้แล้วจิตจึงสงบ
นิมิตเห็นงูยักษ์
เดินจากเขาลงมาเรื่อย ๆ มาถึงห้วยศาลาแล้วข้ามตรงไปที่ ตาสะนาง เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิเจ้าป่าเจ้าเขาแรง ชาวบ้านยำเกรง ไม่กล้าเข้ามาในบริเวณนี้กันเท่าไหร่ หลวงพ่อเลือกปักกลดในถ้ำใกล้ทางขึ้นเนินเขา ตกกลางดึกในขณะที่นั่งเจริญภาวนาอยู่นั้น มีงูเหลือมยักษ์ลำตัวโตเท่าต้นมะพร้าวเลื้อยเข้ามาในถ้ำตรงเข้ามาหาหลวงพ่อ ความรู้สึกในขณะนั้นไม่มีความรู้สึกกลัว หรือตกใจแต่อย่างใดเพราะจิตที่ได้ปฏิบัติมีแต่ความยินดีในธรรม จนไม่คิดเสียดายชีวิต คิดแต่เพียงว่า ถ้ามีกรรมกับผู้ใด เขามาทวงคืนแม้ว่าจะต้องชดใช้ด้วยชีวิตก็ยินดีให้โดยไม่ลังเล ถ้าแม้นว่าเคยมีเวรกรรมกับงูตัวนี้จะถูกกินก็จะไม่หนี จะนั่งอยู่ให้เขากิน เพื่อจะได้หมดเวรกรรม ไม่ต้องชดใช้ในภพต่อ ๆ ไป หากไม่เคยมีเวรกรรมต่อกันก็ขอให้เลื้อยผ่านไปอย่าได้รบกวนการปฏิบัติธรรมในครั้งนี้เลย งูตัวนั้นได้เลื้อยเขามาบนตักผ่านตรงออกไปอีกทาง โดยเลื้อยช้า ๆ ด้วยลำตัวที่หนักและยาว กว่าจะผ่านพ้นไปได้ก็ทำให้ปวดและหนักเมื่อยจนเหงื่อโชคที่เดียว มันเลื้อยออกไปโดยไม่ทำอันตรายใด ๆ รุ่งเช้าหลวงพ่อได้สอบถามผู้ที่ร่วมเดินทางมาด้วย “ว่าเมื่อคืนเห็นงูเหลือมไหม” ก็ได้รับคำตอบว่าไม่เห็นมีอะไร หลวงพ่อจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ
นิมิตเห็นเจ้าป่า
หลวงพ่อสายได้มาเจริญภาวนาที่ป่าบัลลังก์อีกครั้ง ในคราวนี้ได้ปรากฏเห็นพระพุทธรูปสำริดขนาดพระพุทธรูปบูชาทั่วไป อยู่ตรงหน้า ท่านได้เอามือคว้าจับดูแต่แม้ท่านจะยื่นมือจับเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักที รู้สึกว่าพระพุทธรูปขยับหนี้ทุกครั้ง ในขณะที่ท่านคว้าจับอยู่นั้น ก็ปรากฏเห็นชายแก่ร่างเหี่ยวย่น ผมเผ้าหนวดเครารุงรัง มายืนอยู่ข้าง ๆ แล้วกล่าวว่า “เป็นพระทำไมถึงมีความโลภ อยากได้ไปทำไมพระพุทธรูป” ชายชราหรือเจ้าป่ากล่าวเชิงตำหนิ จะเอาไปทำอะไรหละพระพุทธรูป ถ้าอยากได้จริงก็จะให้ของดีมีค่ายิ่งกว่านั้น ในนิมิตชายชราได้นำเอาทรัพย์สมบัติ เงิน ทอง เพชร พลอย รวมทั้งตำราเวทย์มนต์คาถาอาคมต่าง ๆ มามอบให้จำนวนมาก แต่หลวงพ่อบอกกับชายชราว่า ไม่รับหรอกทรัพย์สมบัติและตำราที่มอบให้ ที่เอามือคว้าพระพุทธรูปนั้น ก็เพราะอยากรู้ว่าเป็นพระพุทธรูปจริงหรือไม่เท่านั้น ชายชราหรือเจ้าป่าก็ทำท่าไม่พอใจ แล้วกล่าวเป็นเชิงตำหนิว่า “พระนี้มาหาอะไร ไม่รู้จักอยู่วัดอยู่วา ให้อะไรก็ไม่เอา” แทนที่หลวงพ่อจะรู้สึกดีที่ได้ชนะกิเลศ แต่ท่านคิดว่าเราถูกเขาตำหนิแล้ว จากนั้นท่านก็ไม่ได้ออกมาเจริญภาวนาที่ป่าบัลลังก์อีก คงภาวนาอยู่ในเขตวัดเท่านั้น
ออกธุดงค์ที่ประเทศกัมพูชาครั้งที่ 2
ประมาณกลางปีพุทธศักราช 2508 หลวงพ่อสายได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดตะเคียนราม แทนเจ้าอาวาสองค์เก่าซึ้งได้ลาสิกขาบท ในช่วงนี้ได้เดินทางไปกรุงเทพฯ ท่าพระอาจารย์มหาสารินทร์ โสระวงศ์ วัดเวตวันวิหาร(วัดเชิงหวาย)กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นชาวกัมพูชาโดยกำเนิดท่านได้พาหลวงพ่อไปกรงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา โดยทางรถยนต์จากปอยเปตเข้าเขมรไปทางเสียมราฐ ในขณะที่รถยนต์วิ่งบนถนนขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ ผ่านไปในที่เปลี่ยวแห่งหนึ่ง ได้มีผู้ร้ายไม่ทราบจำนวน สาดกระสุนปืนใส่รถที่หลวงพ่อสายกับคณะที่เป็นพระร่วมเดินทางหลายรูป ต่างตระหนกตกใจหมอบลงกับพื้นรถชุลมุนไปหมด ส่วนหลวงพ่อสายไปเมือนั่งภาวนาอยู่กับที่ จนเสียงปืนสงบลงมองตรงไปที่ต้นเสียง ก็ไม่เห็นมีใคร กระสุนถูกล้อรถข้างหนึ่งจนยางแบน เมื่อเปลี่ยนล้อรถเสร็จเรียบร้อย จึงเดินทางต่อไปเมืองพนมเปญอย่างปลอดภัย
ในขณะนั้นเหตุการณ์สู้รบในเมืองกัมพูชายังไม่สงบ ยังคงมีความรุนแรงขึ้นทุกที แต่นาน ๆ ถึงจะได้มาซักครั้ง อาจารย์มหาสารินทร์ จึงอยากจะพาหลวงพ่อสายได้ชมเมืองเขมรให้ทั่ว ซึ่งมีเหตุการณ์ระทึกขวัญที่สุดในการเดินทางตระเวรเมืองเขมร ในคราวที่เดินทางไปยังจังหวัด กำปงสะปือ ในขณะที่นั่งรถไปกับคณะนั่นเอง ก็เห็นจรวด อาร์ พีจี ของกำลังไม่ทราบฝ่ายยิงลอยข้ามรถไปตกอยู่อีกฟาก บางลูกก็ไม่ถึงตกระเบิดเสียก่อน ผู้นำขบวนสั่งให้หยุดรถแล้วให้ทุกคนลงจากรถทันทีและให้หมอบลงกับพื้น มีเพียงหลวงพ่อสายไม่ได้หมอบ ท่านบอกว่าท่านหมอบไม่เป็น เพียงแต่ไปหลบอยู่ใต้ต้นไม้ กระสุนปืนนานาชนิด ปืนกล อาก้าร์ เครื่องยิงระเบิด ตกลงดั่งห่าฝนห่างจากท่าน 1 เมตร บ้าง 2-3 เมตรบ้าง หลวงพ่อท่านระลึกถึงคุณครูบาอาจารย์ที่ได้สั่งสอนมา ร่วมถึงบุญบารมีที่ได้บำเพ็ญมา ขอให้ช่วยปกปักรักษาให้แคล้วคลาดปลอดภัย ในภาวะวิกฤติเช่นนี้หลวงพ่อเล่าว่าจิตนิ่งสงบเร็วจนแทบไม่ได้ยินเสียงปืนเสียงระเบิด เหตุการณ์เกิดขึ้นอยู่ประมาณ ครึ่งชั่วโมง จึงได้สงบลง ปรากฏว่าไม่มีใครในคณะได้รับบาดเจ็บใด ๆ ทุกคนปลอดภัยต่างยกมือพนมท่วมหัวขอบคุณบุญกุศลเทพยะดาฟ้าดินที่ช่วยให้มีชีวิตรอดปลอดภัย
พัฒนาวัด
หลังจากได้เดินทางไปธุดงค์ที่ประเทศ เขมรกลับมาแล้ว หลวงพ่อเห็นว่ากุฏิ ศาลา ศาสนวัตถุที่มีอยู่เดิม มีอายุเก่าแก่ผุพังควรที่จะได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ ให้ใช้ประโยชน์ได้ดีและเพียงพอกับภิกษุสามเณรที่เพิ่มขึ้นทุกปี ตลอดจนประชาชนที่เคารพนับถือหลวงพ่อที่ได้มาพักรักษาโรคภัยไข้เจ็บที่วัดนั้นไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องสร้างเพิ่มขึ้นอีกท่านได้พาพระภิกษุสามเณรไปนอนค้างคืนเลื้อยไม้ที่เชิงเขาพนมดงรัก เพื่อมาสร้างศาลาไม้ ได้หลังใหญ่กว่าเดิม และสร้างกุฏิได้หลังใหญ่ พระภิกษุสามเณรได้อาศัยพักรวมกัน ส่วนหลังขนาดเล็ก ซึ่งได้สร้างเพิ่มหลายหลัง จะพักอยู่เพียงรูปเดียว
หลวงพ่อท่านได้สร้างกำแพงวัด โดยยึดศิลปะของปราสาทเขมร มาเป็นแบบ ส่วนประตูทางเข้าวัดท่านยึดแบบจากนครวัดนครธมมาสร้าง จึงทำให้ดูแปลกไปจากวัดอื่น การก่อสร้างนี้ก็ได้ความร่วมมือจากพระภิกษุสามเณรภายในวัดช่วยกัน ในการรื้อศาลาเก่า ภิกษุสามเณรใช้ค้อน และชะแลงในการทุบหิน ทุบปูน ในการรื้อจนมือไม้พอง หลวงปู่สายได้มาพบเห็นเหตุการณ์ หลวงปู่ก็เลยบอกให้พระภิกษุและสามเณรขยับออกไป หลวงปู่สายก็ยืนนิ่งแล้วท่านได้กำมือยกขึ้นมา อธิฐานท่องอะไรซักอย่างแล้วเอามือวางที่ก้อนหินและได้เกิดสิ่งอัศจรรย์ขึ้นก้อนหินแตกกระจายออกจากกันเป็นที่หน้าแปลกใจยิ่งนักของพระภิกษุและสามเณร พร้อมกับชาวบ้านที่มาช่วยงานรื้อถอนในครั้งนั้น
หลวงปู่สายปัจจุบันหลวงพ่อได้รื้อศาลาไม้หลังเก่า มาสร้างเป็นศาลาคอนกรีตขนาดใหญ่ ซึ่งในขณะนี้กำลังก่อสร้างอาคารที่ทำการของเจ้าคณะอำเภอภูสิงห์ ด้วยอาศัยปัจจัยของผู้มีจิตศรัทธารวมทั้งปัจจัยของหลวงพ่อเอง ที่ได้จากการรดน้ำมนต์ จากการเช่าบูชาวัตถุมงคล จากกฐิน ผ้าป่าของศิษย์ยานุศิษย์ทั่วไป การก่อสร้างดำเนินไปได้ในระดับหนึ่ง จึงจำเป็นต้องใช้งบประมาณอีกเป็นจำนวนมาก จึงจะแล้วเสร็จ จึงขอบอกบุญมายังผู้ใจบุญมีจิตรศรัทธา ได้ร่วมบริจาคช่วยหลวงพ่อท่านสร้างอาคารในครั้งนี้







สร้างวัตถุมงคล
จากเหตุการณ์บ้านเมืองของไทยเราในขณะนั้นไม่สงบสุข มีโจรผู้ร้ายชุกชุม มีผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์มาอยู่ตามแนวชายแดน ชาวบ้านหวาดกลัว เกรงจะได้รับอันตรายจากภัยที่มาจากโจรผู้ร้าย และภัยจากผู้ก่อการร้ายไม่เป็นอันทำมาหากิน เจ้าหน้าที่เมืองบ้านก็ไม่พอจะดูแลได้ทั่วถึง ชาวบ้านรวมตัวกันดูแลป้องกันหมู่บ้านด้วยตนเอง ได้อาวุธ ปืนลูกซองจากหน่วยงานราชการ หมู่บ้านละไม่กี่กระบอกรวมกับปืนแก๊ปของชาวบ้าน จัดเวรยามรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้าน ใครมีของดีอะไรก็นำติดตัวกันทุกคน ที่ไม่มีก็แสวงหาจากครูบาอาจารย์ในท้องถิ่น โดยเฉพาะที่วัดตะเคียนรามนี้จะมีผู้คนไปแสวงหาเครื่องรางของขลังของดีจากหลวงพ่อสายกันมาก เพราะเห็นว่าหลวงพ่อได้ศึกษาวิชาอาคมมาทางนี้โดยตรง แต่ทางวัดก็ไม่ได้สร้างเอาไว้ให้บูชากันมาก นอกจากมีลูกศิษย์ขอให้สร้างให้เท่านั้น โดยจัดหาแผ่นตะกั่วแผ่นทองแดงมาเอง มาให้หลวงพ่อมาจารอักขระเป็นตะกรุดให้นำไปใช้ติดตัว ซึ่งผู้ที่ได้ไปนั้นมีประสบการณ์ดี แคล้วคลาดปลอดภัยจากศาสตราวุธของฝ่ายตรงข้าม ส่วนมากผู้ที่ได้เครื่องรางของขลัง ไปจากหลวงพ่อจะเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร อาสาสมัคร และตำรวจตระเวนชายแดนที่ทำหน้าที่ป้องกันประเทศ ที่อยู่ในแถบชายแดน จ.ศรีสะเกษ สำหรับชาวบ้านก็ได้บ้างเฉพาะผู้ที่แสวงหาไว้ติดตัวเท่านั้น
ในปี พ.ศ.๒๕๑๖ หลวงพ่อมีความประสงค์ที่จะสร้างวัตถุมงคลไว้เป็นที่ระลึกแจกให้แก่ผู้มาร่วมทอดผ้าป่าสามัคคี เพื่อพัฒนาวัดเป็นครั้งแรกโดยท่านสร้างเป็นเหรียญ “พญาเต่าเรือน” โดยการออกแบบของช่างชาวเขมรจากโรงหล่อจังหวัดนครปฐม ด้านหน้าเป็นพระสังกัจจายน์ข้างหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเป็นรูปพระปิดตา มีอักขระ “นา สัง สิ โม” ด้านข้างพระสังกัจจายน์ และพระปิดตา ด้านล่างเป็นอักขรขอมภาษาบาลีว่า “นะ โม พุท ธา ยะ” ใต้พระสังกัจจายน์ และ “นะ มะ พะ ทะ พ.ศ.๒๕๑๖” ใต้พระปิดตา โดยหลวงพ่อสายท่านเลือกใช้ยันต์นี้ด้วยตัวท่านเอง




หลวงปู่สรวงอธิษฐานจิตปลุกเสกให้
เหรียญ “พญาเต่าเรือน” นี้ หลวงพ่อสายท่านสร้างขึ้นมาจำนวนทั้งหมด 2,000 เหรียญ เป็นเหรียญรุ่นแรกที่ท่านสร้างขึ้นมา หลวงพ่อได้นำเหรียญมาทำพิธีปลุกเสกในวัด โดยจัดทำบายศรีตามตำราโบราณ นำเหรียญทั้งหมดใส่บาตรทำพิธีปลุกเป็นเวลา ๓ เดือน
­­­­­­ช่วงนั้นหลวงปู่สรวง ท่านได้มาพำนักอยู่ในวัดตะเคียนรามด้วย หลวงพ่อสายจึงได้ขอให้หลวงปู่ช่วยปลุกเสกให้ด้วย การปลุกเสกของหลวงปู่นี้ ท่านนั่งชันเข่าเอาสองมือจับบาตรที่บรรจุเหรียญบริกรรมสักครู่ เสียงดังกราวในบาตรคล้ายกับพระหรือเหรียญในบาตรวิ่งวนไปมา หลวงปู่จับบาตรยกขึ้นเขย่าแล้วพูดว่า “ขลัง เฮย ปะแก เฮย” หมายถึง เหรียญนี้ขลังแล้วดีแล้วทุกอย่าง พร้อมกันนั้นท่านบอกหลวงพ่อสายและพระ-เณรที่นั่งดูหลวงปู่ปลุกเสกว่า การปลุกเสกนี้ให้บริกรรมว่า
“นะ โม พุด เทีย เยียะ นะมะ พะทะ นะ โม พุด เทีย เยียะ นะมะ อะอุ”
โดยให้บริกรรมครั้งละหลาย ๆ ครั้ง หรือเป็นพันครั้งหมื่นครั้งยิ่งดี ทำให้พระที่เราปลุกเสกนี้ขลังแน่นอน
เหรียญ “พญาเต่าเรือน”นี้ หลวงได้แจกให้แก่พระภิกษุ – สามเณรในวัดและชาวบ้านตะเคียนราม ที่ขอรับกับหลวงพ่อก่อนแจกให้กับคณะผ้าป่า เพราะเกรงจะหมดก่อน เนื่องจากเป็นรุ่นแรกของวัดและที่สำคัญหลวงปู่สรวง ท่านได้เมตตาปลุกเสกให้ หลายคนได้เห็นปาฏิหาริย์ในระหว่างปลุกเสก บอกเล่า ๆ ต่อ ๆ กันจึงพากันมาบูชาขอทำบุญก่อน
หลวงพ่อได้แจกให้คณะผ้าป่า คณะที่มาทอดกฐินที่วัด รวมทั้งวัดอื่นมาขอบูชาไปแจกในงานกฐินบ้าง ที่เหลือก็จะให้แก่ศิษย์ยานุศิษย์ที่มารดน้ำมนต์ไว้เป็นที่พึงทางใจ เนื่องจากช่วงนั้นบ้านเมืองเดือดร้อนจากโจรและผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ด้วย ได้มีเจ้าหน้าทีทหาร ตำรวจตระเวนชายแดนและอาสาสมัครที่ได้รับแจกเหรียญรุ่นนี้ปะทะกับผู้ก่อการร้ายในบริเวณเขาพนมดงรักโดนกราดยิงด้วยปืนอาก้าและเครื่องยิงระเบิด อาร์พีจี ในขณะที่กำลังลาดตระเวนในระยะประชิด แต่ก็แคล้วคลาดปลอดภัยทุกคน ได้มาเล่าเหตุการณ์ให้หลวงพ่อฟัง รวมทั้งประสบการณ์อื่นจากผู้ที่ได้เหรียญรุ่นนี้ จึงทำให้ผู้ที่ทราบพุทธคุณเสาะแสวงหากันมาก




ปี พ.ศ.๒๕๒๕ หลวงพ่อสายได้รับแต่งตั้งเป็นฐานานุกรมในพระราชจินดามุนีฯ เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ที่พระครูปลัด ทางวัดโดยคณะกรมกรรมวัดและชาวบ้านในสังกัดวัดได้ตกลงจัดงานฉลองพัดยศให้ในปี พ.ศ.๒๕๒๖ จึงได้สร้างเหรียญที่ระลึกแจกให้แก่ผู้มาร่วมงานเหรียญรุ่นนี้มีลักษณะเป็นทรงกลม ด้านหลังเป็นรูปพระสังกัจจายน์ ที่ระลึกในงานฉลองพัดยศพระครูปลัดสาย ปาโมกโข ล้อมรอบ สำหรับรูปพระสังกัจจายน์มีลักษณะค่อนข้างผอมต่างจากที่เคยเห็นทั่วไป เป็นรูปที่จำลองจากองค์จริงที่มีอยู่ประจำวัดมานาน ซึ่งถือว่าเป็นพระที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก ในอดีตเคยมีผู้นำออกจากวัดไปเก็บไว้ในที่อื่น ผลปรากฏว่าเกิดความเดือดร้อนในวัด หมู่สงฆ์เคยอยู่กันอย่างปกติสุขเกิดทะเลาะวิวาทกัน อาหารการฉันก็ไม่มีใครนำมาถวาย พระสงฆ์ลาสิกขาและก็ย้ายไปอยู่วัดอื่นก็มี จนแถบไม่มีพระภิกษุสามเณรอยู่จำวัด เดือดร้อนถึงกรรมการและชาวบ้านประชุมกันหาสาเหตุที่เกิดขึ้น และเมื่อพิจารณากันแล้วเห็นว่า น่าจะมาจากการนำพระสังกัจจายน์คู่วัดไปไว้ที่อื่นแน่นอน จึงได้รวมกันไปนำมาไว้ที่วัดคืนตามเดิมมาแล้ว เหตุการณ์ต่าง ๆ ก็สงบสุขพระที่ย้ายไปอยู่ที่อื่นก็กลับมาจำวัดตะเคียนรามชาวบ้านก็ไปส่งจันหันถวายพระตามปกติและมีพุทธศาสนิกชนมาทำบุญกันมากขึ้น ทำให้วัดเจริญรุ่งเรืองร่มเย็นเป็นสุขเป็นที่พึ่งของชาวบ้านตามเดิม รุ่นนี้สร้างจำนวน ๒,oooเหรียญ





ท่านได้แจกให้แก่ผู้มาร่วมทำบุญหมดและเป็นเหรียญที่นิยมกันมากรุ่นหนึ่ง หลังจากที่หลวงพ่อสายได้สร้างวัตถุมงคลรุ่นนี้แล้ว ชื่อเสียงของท่านก็เป็นที่รู้จักในวงการพระเครื่องท่านได้รับนิมนต์ไปร่วมปลุกเสกในพิธีพุทธาภิเษกเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นต่างจังหวัดใกล้ไกลที่มีพิธีพุทธาภิเษกพระที่สำคัญยิ่งใหญ่แล้ว ก็จะมานิมนต์ท่านเสมอ
นอกจากการสร้างเหรียญแล้ว ทางวัดก็ได้จัดสร้างตะกรุด โดยหลวงพ่อสายท่านเป็นผู้จารอักขระด้วยมือของท่านเอง โดยให้พระภิกษุ-สามเณรเป็นผู้ถักด้ายหุ้มจัดทำสายคาด เสร็จแล้วท่านนำไปทำพิธีอธิฐานจิตปลุกเสกเดี่ยวทุกคืนหลังจากสวดมนต์ทำวัดเย็น จนมั่นใจว่านำไปใช้ได้ดีแล้ว จึงนำออกให้บูชา
การสร้างวัตถุมงคลของวัดนั้น ท่านจะพิถีพิถันในการสร้างตามตำหรับรูปแบบโบราณทุกอย่าง การสร้างแต่ละครั้งก็มีจำนวนไม่มากจึงไม่พอกับความต้องการของผู้ที่อยากได้บูชาที่สำคัญคือทางวัดไม่ได้กำหนดค่าบูชาแต่อย่างใด ท่านจะแจกให้กับทุกคนที่ได้บริจาคทรัพย์สร้างศาลาและบูรณปฏิสังขรณ์ ศาสนวัตถุของวัด ตามกำลังศรัทธาแล้วแต่จะบริจาค จะมากจะน้อยไม่ใช้ประเด็นสำคัญ บางรายที่ไม่มีเงินบริจาคเลย ประสงค์อยากจะได้ ท่านก็เมตตาแจกให้ทุกคน การสร้างศาลาและศาสนวัตถุก็ดำเนินไปเรื่อย ๆ ตามกำลังทรัพย์ที่ได้จากการบริจาคปัจจัยของผู้ที่มีศรัทธามาทำบุญ
นอกจากวัตถุมงคลที่ทางวัดสร้างบางครั้งก็มีผู้นำของไปให้ท่านปลุกเสกให้ก็มี ซึ่งท่านมีเมตตาปลุกเสกให้ ส่วนมากเป็นช่วงเข้าพรรษา พอออกพรรษาก็มารับของที่ฝากปลุกเสกคืน
ครั้งหนึ่งได้มีชาวบ้านตะเคียนรามชื่อนายเซือม บ้านอยู่ข้างวัดได้นำไม้ดำลักษณะคล้ายไม่งิ้วดำมากแกะเป็นพระขนาดเล็ก จำนวน 10 กว่าองค์ แล้วขอให้หลวงพ่อสายท่านปลุกเสกให้ ท่านได้นำพระดังกล่าวมาทำพิธีปลุกเสกในห้องพระ โดยนำมาวางในบาตรแล้วก็อธิฐานจิตปลุกเสกให้ มีนายเซือมเจ้าของและพระภิกษุอีกสามสี่รูปนั่งดูข้างหลัง
หลังจากที่ท่านปลุกเสกได้สักครู่ มีเสียงดังขึ้นในบาตรเบา ๆ คล้ายกับมีอะไรเคลื่อนไหวลูกศิษย์ทุกคนที่นั่งดูอยู่ข้างหลังต่างก็ชะเง้อมองดูในบาตร เห็นพระไม้ดำขยับตั้งขึ้นคล้ายกับลุกนั่งหลวงพ่อท่านได้หยิบพระที่ลุกขึ้นนั่งในบาตรซึ่งขยับตั้งขึ้นทีละองค์มอบให้เจ้าของจนหมดทุกองค์ท่านบอกว่า ถ้าปลุกเสกแล้วพระไม่ลุกก็ยังใช้ไม่ได้
นอกจากการสร้างเหรียญดังกล่าวแล้ว หลวงปู่สาย ท่านยังได้สร้างรูปหล่อ พระสังกัจจายน์ ขึ้นมา เนื้อจะออกเป็นสัมฤทธิ์เงิน ซึ่งเป็นรูปหล่อจำลองจากพระประจำวัดตะเคียนราม ซึ่งชาวบ้านขุดพบบริเวณวัด ซึ่งมีอายุ ประมาณ 300 กว่าปี เป็นเนื้อสัมฤทธิ์ ซึ้งมีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพของชาวบ้านตะเคียนราม รวมถึงหมูบ้านอื่น ๆ ของอำเภอภูสิงห์ ตลอดจนชาวเมืองศรีสะเกษ ซึ่งท่านได้ทำการหล่อขึ้นมา จำนวนประมาณไม่เกิน 20 องค์ จะเด่นในด้าน โชคลาภ ค้าขาย เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย และพบประสบการณ์มาแล้ว ผู้ที่มีไว้ครอบครองต่างหวงแหน เพราะท่านสร้างจำนวนน้อย
รูปหล่อลอยองค์พระสังกัจจายน์ จำลองจากองค์จริงของวัด พุทธคุณเด่นทางด้านโชคลาภและโภคทรัพย์




ปี พ.ศ.๒๕๒๘ พระปลัดสายได้รับพระราชทานสมศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรเจ้าอาอาสราษฎร์ชั้นโท (จร.ชท) ในทินนามที่ “พระครูประกาศธรรมวัตร” ปีนี้หลวงพ่อสายสร้างเหรียญรูปเหมือนแจกให้เป็นที่ระลึกเป็นเหรียญรูปเหมือนรุ่นแรกที่ทางวัดได้จัดสร้างเป็นรูปเหมือนของท่าน แจกให้แก่ผู้มาร่วมฉลองสมศักดิ์และผู้ทีมาให้หลวงพ่อประพรหมน้ำมนต์ให้รายวันแจกจังหวัดไกล ๆ และประชาชนทั่วไป มีผู้ที่มาขอรับแจกและขอบูชาเป็นจำนวนมาก จึงหมดลงในเวลาอย่างรวดเร็ว จากการที่มีผู้มาขอวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังจากทางวัดทุกวัน หลวงจึงได้สร้างวัตถุมงคลอื่นอีกหลายรุ่น นอกจากเหรียญและตะกรุด ก็มีนวดสีผึ้งเมตตามหานิยม เด่นทางด้านเมตตาค้าขายปกป้องคุ้มภัย

มีรุ่นหนึ่งเป็นรุ่นพิเศษของวัดที่บรรดาลูกศิษย์และผู้ที่มีศรัทธาในตัวของหลวงพ่อได้ขอให้ท่านได้สร้างขึ้นเหมือนกับวัดอื่น ๆ ซึ่งหลวงพ่อบอกว่าให้ถึงเวลาอันเป็นมงคลฤกษ์งามและทุกอย่างพร้อมก่อน นั้นก็คือพระกริ่งและพระชัยวัฒน์ของวัดตะเคียนรามที่ยังไม่ได้สร้างเลย จนหลวงพ่อได้รวบรวมชนวนโหละศักดิ์สิทธิ์ จากสถานที่สำคัญทั้งในไทยและจากเขมรจาอักษรลงยันต์ปลุกเสกหลายไตรมาส จึงได้สร้างพระกริ่ง ขึ้นมา โดยเลือกเอาแบบพระกริ่งที่ท่านได้มาช่วงเดินธุดงค์ในประเทศเขมรมาเป็นต้นแบบ เป็นพระกริ่งที่มีลักษณะแตกต่างจากพระกริ่งทั่วไป ประทับนั่งแบบสมาธิเพชรอยู่บนฐาน 2 ชั้น ห่มจีจรหลายขีดตัดเป็นตาราง ด้านหลังมีอักษร 2 แถว แถวแรกบนประทับอักษร “หลวงพ่อสาย” แถวล่าง “วัดตะเคียนราม” หล่อแบบโบราณเนื้อโลหะเก่าผสม ส่วนก้นฐานของพระมีเส้นนูน 2 เส้น เส้นสันขีดตั้งฉากแบ่งกึ่งกลางเส้นยาว บนเลขหนึ่งไทย (บอกรุ่นที่หนึ่ง)
พระกริ่งรุ่น ๑ นี้มีพุทธคุณเป็นที่เลื่องลือกันในด้านแคล้วคลาด คงกระพัน มหาอุด ป้องกันศัตราวุธทั้งปวง โดยมีลูกศิษย์ที่เป็นทหารไปประจำการอยู่ในชายแดนสามจังหวัดภาคใต้ได้มากราบหลวงพ่อกันเพื่อน ทหารที่ไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ด้วยกันขอบูชาพระกริ่งรุ่นแรกและวัตถุลงคลอื่น ๆ จากทางวัด เมื่อนำติดตัวในการไปปฏิบัติราชการโดยเล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า เขาได้พระกริ่งรุ่นแรกของหลวงพ่อสายแขวนติดตัวตลอดเวลาในการไปปฏิบัติหน้าที่ไม่เคยถอนออกแม้แต่ครั้งเดียว ผ่านการปะทะสู้รบมาหลายครั้ง และครั้งล้าสุดในขณะที่ลาดตระเวนไปตามเส้นทางที่รับผิดชอบกับเพื่อนทหารถูกกดระเบิดและถล่มยิ่งซ้ำจากโจรก่อการร้ายที่ซุ่มดักอยู่ข้างทาง ระเบิดได้เกิดระเบิดขึ้นระหว่างกลางเขากันเพื่อนห่างไม่ถึง 3 เมตร เพื่อนเสียชีวิตและบาดเจ็บหลายคน เขานั้นแคล้วคลาดปลอดภัยไม่ได้รับอันตรายใด ๆ มั่นใจในพระพุทธคุณของพระกริ่งจึงได้มากราบขอบูชาให้เพื่อนทหารได้มีติดตัวปกป้องภัยและอีกหลาย ๆ ประสบการณ์ที่ปรากฏแก่บรรดาผู้ที่มีพระกริ่งรุ่นนี้ สามารถสืบถามได้จากชาวบ้านที่นำติดตัวไปทำงานในต่างถิ่นในละแวกหมู่บ้านนี้








สร้าง 2503 เนื้อสัมฤทธิ์ เทหล่อแบบโบราณ ครั้งละ 5 องค์และ 10 องค์ ไม่เกินจำนวนนี้ โดยหลวงปู่สาย จะผสมชนวนมวลสาร และแร่ธาตุ แล้วท่านก็ทำการเทหล่อด้วยตัวท่านเอง ในแต่ละวัน ตามกำลังวัน โดยยึดการสร้างตามประเพณีโบราณแบบชาวเขมร อักขระยันต์ถูกต้อง ตามที่ได้อธิฐานจิต สร้าง ได้ประมาณ 108 องค์ และ 1 องค์หลวงปู่ สายได้แลกเปลี่ยน ว่านกับฤษี ที่ประเทศเขมร ในช่วงที่ท่านออกธุดงค์ ในประเทศเขมร



เป็นพระปิดตาที่สร้างจากเนื้อผงใบลานเก่า และว่าน 108 เป็นพระผงปิดตารุ่นแรก ของหลวงปู่สาย การแกะแบบพิมพ์ได้ช่างจากประเทศเขมร เป็นผู้แกะเป็นพระปิดตานั่งขัดสมาธิ มือปิดตาทั้งสองข้างมีริ้วจีวรเห็นเด่นชัด ด้านหลังพระผง มีอักขระ 4 ตัว “นะ มะ มิ อุ” เนื้อผงเป็นสี น้ำตาลอมดำในการสร้างพระปิดตานี้ หลวงปู่สาย กดพิมพ์ด้วยตัวท่านเอง และเน้นสร้างตามจำนวนกำลังวัน ท่านสร้างประมาณ 108 องค์ เป็นพระปิดตาที่ ชาวศรีสะเกษ พร้อมทั้งลูกศิษย์ท่านใดที่ได้บูชาหรือมีไว้ครอบครองต่างหวงแหน ได้เห็นพุทธานุภาพ ในด้านเมตตามหานิยม ทำการค้าขายแคล้วคลาดปลอดภัย ต่าง ๆ กับตัวเองมาแล้ว



หลวงปู่สาย ท่านได้มีการสร้างเสื้อยันต์โดยที่ท่านได้ลงอักขระยันต์ด้วยตัวท่านเองเพื่อมอบให้กับลูกศิษย์ลูกหาไว้ป้องกันภัย ในการสร้าง ท่านสร้างจำนวนไม่มาก เท่าที่สอบถามท่านสร้างจำนวน ไม่เกิน 10 ตัว เท่าที่ลูกศิษย์ได้อาราธนานำติดตัวไปใช้ ก็เกิดประสบประการณ์ที่ ผามออีแดง ภูมะเขือ ภูเขาควาย และสถานที่ต่าง ๆ ตามแนวชายแดนไทย-เขมร ที่ผ่านมาทหารเขมรได้ยิงปืนใหญ่ ใส่กองกำลังทหาร ซึ้งในกองกำลังทหารนั้นมีลูกศิษย์ของหลวงปู่สาย และยังมีศักดิ์เป็น หลานของหลวงปู่สาย ได้สวมเสื้อยันต์นี้ในการลาดตระเวร ในช่วงที่เกิดข้อพิพากระหว่างไทยกับเขมร เรื่องเขาพระวิหาร ปรากฏว่าลูกกระสุนปืนใหญ่ที่ฝั่งเขมรยิงมาได้ตกระเบิดก่อนบ้าง และบางลูกก็ตกกระเด่นกระดอนในขณะที่กองกำลังทหารไทยลาดตระเวรอยู่ ทำให้เป็นที่เรื่องลือกันในหมู่ทหารรักษาดินแดน









สร้างเมื่อ 2547 โดยยึดต้นแบบกริ่งที่ได้มาในช่วงที่หลวงปู่สายออกธุดงค์ที่ประเทศเขมร แล้วท่านได้อธิฐานจิตกับเทวดา รุกเทวา เทพเทวาและสิ่งศักดิ์สิทธิ ที่ปกปรักรักษา ป่าและขุนเขาตลอดจนถ้ำที่ท่านได้บำเพ็ญภาวนา หลังจากที่ท่านกลับจากธุดงค์ ท่านได้ดำริสร้างพระกริ่งขึ้น ประมาณ 2,000 องค์ และเป็นพระกริ่งที่มีประสบประการณ์ ดังเหตุการณ์ ที่ทหารจากจังหวัดศรีสะเกษ ได้ไปประจำการใน สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถูกกดระเบิดและถล่มยิง จากฝั่งของผู้ก่อการร้าย ในขณะลาดตระเวร และทำให้ทหารท่านอื่น ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต แต่ทหารท่านนี้กลับรอดอย่างปราฏิหาริย์ ด้วยพุทธานุภาพของพระกริ่งที่ทหารท่านนี้ได้นำติดตัวไปในขณะนั้น
นอกจากพระกริ่งแล้วยังมีเหรียญที่ระลึกที่สร้างใน พ.ศ 2547 เป็นเหรียญรูปไข่ นั่งเต็มองค์ พิมพ์อักษรเขียนข้างบนเหรียญว่า “ลาภผล พูนทวี”และใต้ฐานเขียนคำว่า รุ่น 1 ซึ่งเป็นเหรียญรูปไข่รุ่นแรก ที่นั่งสมาธิเต็มองค์ ด้านหลังพิมพ์ คำว่า “ที่ระลึกการสร้างศาลาการเปรียญ “แจกสมนาคุณท่านที่มีจิตศรัทธาร่วมสมทบทุนในการสร้างศาลาการเปรียญ และที่ทำการเจ้าคณะอำเภอภูสิงห์ เป็นเหรียญที่เปรี่ยมไปด้วยพุทธานุภาพ ด้านเมตตามหานิยม การค้าขาย ซึ่งแต่ละอย่างนั้นได้ผ่านพิธีกรรมและการปลุกเสกของหลวงพ่อสายมาแล้วตลอดไตรมาส






ภาพข้างบน ด้านหลัง ได้นำมวลสารที่จะติดอยู่หลังล็อคเก็ต รุ่น เจริญพร มาทำการแปะติดข้างหลังเหรียญ







ปี พ.ศ.๒๕๔๙ หลวงพ่อสายได้รับพระราชทานสมณะศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรเจ้าอาวาสราฎร์ชั้นเอกในราชทินนามเดิมที่”พระครูประกาศธรรมวัตร” ที่นี้ท่านได้สร้างเหรียญที่ระลึก โดยเป็นเหรียญรูปไข่ด้านหน้าเป็นรูปเหมือนครึ่งองค์ มีตัวอักษร “พระครูประกาศธรรมวัตร (สาย)” อยู่รอบบนด้านหลังมียันต์อยู่ตรงกลาง ด้านบนมีอักษรว่าที่ฉลองสมศักดิ์ชั้นเอก ด้านล่าง ๑๕ เมษายน ๒๕๔๙ วัดตะเคียนราม

เหรียญพรหมวิหาร ๔ เนื้อผง ด้านหนึ่งเป็นรูปหลวงพ่อสายอีกด้านหนึ่งเป็นรูปพระพรมมีสี่หน้าแปดกร สร้างจากผงศักดิ์สิทธิ์ ผงวิเศษของคณาจารย์ฝั่งไทยและเขมร



ขุนแผนมหาเสน่ห์ สร้างจากว่านวิเศษ ๑๐๘ ชนิดผสมองอิทธิเจ เสน่ห์แรง เมตตามหาละลวย ด้านหลังกำกับด้วยยันต์พิเศษ มหาชาตรี ปกป้องคุ้มภัย









สีผึ้งเมตตา หุงตามตำรับเขมรโบราณผสมด้านว่านมงคล มหารัญจวน เด่นทางด้านเมตตาค้าขาย เป็นที่รักของคนทั่วไป




ตะกรุดโทน จารอักขระด้วยหลวงพ่อเองทุกดอก ด้วยมหายันต์ปกป้องคุ้มกันสารพัดภัยของปู่ฤๅษีมหาเอเชีย






จากการที่หลวงปู่สรวงได้มาอยู่ในเขตหมู่บ้านตะเคียนรามตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๙๖ และหลวงพ่อสายได้มีโอกาสรับใช้อย่างใกล้ชิดมาตั้งแต่เด็กจนได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่ในวัดตะเคียนราม หลวงปู่ท่านก็ยังวนเวียนเข้าออกอยู่ในวัดเป็นประจำ โดยเมตตาถ่ายทอดวิชาแนะนำเคล็ดลับแนวทางในการปฏิบัติธรรมตลอดจนกรรมวิธีสร้างเครื่องรางของขลังตามศาสตร์โบราณ อีกทั้งหลวงพ่อสายเองท่านได้ศึกษาพุทธาอาคมไสยเวททั้งไทยและเขมรมาจากสำนักกุเลนตลอดจนครูบาอาจารย์ที่เรืองอาคมมามากมาย ดังนั้นวัตถุมงคลทุกรุ่นที่ออกจากวัดจึงเข้มขลัง มีอานุภาพ อิทธิฤทธิ์ เปรี่ยมไปด้วยด้วยประสบการณ์ คุ้มครองปกป้องภัยแก่ผู้มีติดตัวเป็นที่ประจักษ์เลื่องลือรู้ดีในบรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่เคารพและนับถือหลวงปู่สายตลอดจนประชาชนที่อยู่ในจังหวัดใกล้เคียง เนื่องจากการสร้างวัตถุมงคลแต่ละรุ่น แต่ละครั้งที่สร้างมีจำนวนน้อย และท่านจะเน้นพิธีกรรมตามแบบโบราณ อักขระขอมถูกต้อง แม่นยำผิดเพี้ยนไม่ได้ และที่สำคัญหลวงปู่ท่านจะอธิฐานจิตปลุกเสกเดี่ยว และแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่า 3 ไตรมาส หรือบางรุ่นจะใช้เวลาเป็นปี จนกว่าท่านจะมั่นใจ จึงจะอนุญาตให้นำวัตถุมงคลแต่ละรุ่นดังกล่าวออกมาให้ลูกศิษย์ลูกหาได้เช่าหาบูชา จึงเป็นที่เสาะแสวงหาของลูกศิษย์ที่เคารพนับถือและได้รับความนิยมอย่างสูง จนแต่ละรุ่นที่ออกมาหมดลงในเวลาอันรวดเร็ว และการให้เช่าบูชาก็ไม่ได้กำหนดราคาสูงแต่อย่างใด แล้วแต่ศรัทธาของผู้บูชาจะถวายเท่าไหร่ก็ได้ตามกำลังศรัทธาของตนที่จะร่วมทำบุญ เพราะปัจจัยที่ได้ทั้งหมดหลวงปู่สาย ท่านนำไปพัฒนาบูรณะวัดและสร้างศาสนวัตถุใช้ประโยชน์ทางพระพุทธศาสนา ให้ทุนการศึกษาและช่วยเหลือเด็กยากจนมาตลอดเวลาอันยาวนาน
ในช่วงเข้าพรรษา ปี พ.ศ. 2555 คณะลูกศิษย์จากกรุงเทพ ฯ ได้เดินทางไปถวายเทียนเข้าพรรษาพร้อมจตุปัจจัยไทยธรรม ที่วัดตะเคียนราม อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ เสร็จจากการถวายเทียนและจตุปัจจัยไทยธรรมแล้ว คณะลูกศิษย์ก็ได้นั่งสนทนากับหลวงปู่สาย เรื่องการหาจตุปัจจัยในการที่จะมาสร้างพระอุโบสถ ที่สำนักสงฆ์พลาญอ่างทะนง ซึ้งเป็นสาขาของวัดตะเคียนราม ในขณะที่นั่งสนทนากับหลวงปู่อยู่นั้น หลวงปู่สายลุกขึ้นไปหยิบแก้วน้ำเพื่อที่จะชงน้ำชา ในขณะที่กำลังจะกดน้ำร้อน คณะลูกศิษย์และพระภิกษุตลอดจนสามเณรในวัดตะเคียนราม ก็มองไปที่แก้วน้ำปรากฏว่าเห็นปลาทอง 1 คู่ อยู่ในแก้วน้ำชา คณะลูกศิษย์ก็เลยบอกหลวงปู่สายว่ามีปลาอยู่ในแก้วน้ำชา ของหลวงปู่ แล้วหลวงปู่ก็เลยพูดว่า มาได้อย่างไร มาตอนไหน แล้วหลวงปู่ก็ยิ้ม แล้วส่งให้พระภิกษุให้เอาไปปล่อยในโอ่งมังกร หน้ากุฏิของหลวงปู่ ซึ้งในโอ่งมังกรนั้นมีน้ำอยู่ครึ่งโอ่ง ช่วงประมาณ 5 โมง เย็นลูกศิษย์และพระภิกษุได้นำอาหารไปให้ปลาที่อยู่ในโอ่งหน้ากุฏิหลวงปู่สาย แต่พอไปถึงก็ได้เห็นว่าไม่มีปลาทอง คู่นั้นอยู่ในโอ่งแล้ว คณะลูกศิษย์จึงขึ้นไปกราบสอบถามหลวงปู่สาย ว่าปลาทองที่ได้เอาไปปล่อยนั้นหายไปไหน หลวงปู่สายจึงตอบว่า เขากลับไปแล้ว ทำให้คณะลูกศิษย์ลูกหาแปลกใจเป็นอย่างมาก และคณะลูกศิษย์ก็ไม่กล้าที่จะถามหลวงปู่ต่อไปอีก หลวงปู่ก็ได้แต่นั่งยิ้มหัวเราะชอบใจ
หลวงปู่สายท่านเป็นพระที่มีศีลาจารวัตรเพียบพร้อมงดงาม (ศีลาจารวัตร หมายถึง ในคำวัดนิยมใช้ยกย่องหรือสรรเสริญภิกษุผู้มีคุณสมบัติเช่นนั้นพร้อมมูลว่าเป็นผู้มีศีลาจารวัตรงดงาม หรือเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีลาจารวัตร กล่าวคือเป็นผู้มีศีลที่บริสุทธิ์ เคร่งครัดในพระวินัย มีกริยามารยาทเรียบร้อยงดงาม และปฏิบัติตามธรรมเนียม สงฆ์อย่างเคร่งครัด) ท่านมีเมตตาธรรมสูง กับทุกคนไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่ว่าจะยากดีมีจน มีความทุกข์ร้อนใจจะให้ท่านช่วยขจัดปัดเป่า หรือนิมนต์ท่านไปทำพิธีให้ไม่ว่าไกลหรือใกล้ก็ตาม ถ้าไม่ติดกิจนิมนต์อื่นแล้ว ท่านไม่เคยปฏิเสธแม้ว่าสุขภาพท่านจะไม่ค่อยดีนักก็ตาม ท่านจึงเป็นที่รักเคารพของทุกคนที่รู้จักท่าน ท่านจะติดกิจนิมนต์เกือบทุกวันแทบจะไม่มีเวลาว่าง ผู้ที่ประสงค์จะไปกราบท่านด้วยกิจใดก็ตาม ควรจะไปถึงวัดตะเคียนรามก่อน ๐๖.๐๐ น. หรือไม่ก็โทรศัพท์ติดต่อกับทางวัดตะเคียนรามก่อนที่หมายเลข โทร. ๐๘-๑๓๙๐-๓๐๒๙ ก่อนที่จะไปหาท่านที่วัดจึงจะไม่พลาดโอกาสที่จะได้กราบนมัสการ




สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ
การให้ธรรมทาน เป็นทาน ชนะ การให้ทั้งปวง
ปี ๒๕๕๔ ได้รับพระราชทานสมณะศักดิ์เป็นพระครูเทียบผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง
ชั้นเอกพระครูประกาศธรรมวัตร (สาย ปาโมกโข)
มีอยู่วันหนึ่งทางคณะลูกศิษย์ที่ศรัทธาหลวงปู่มาจากทางกรุงเทพฯได้มาหาหลวงปู่สายที่วัดตะเคียนรามและด้วยความเลื่อมใสศรัทธาจึงได้มากราบไหว้และพักอาศัยอยู่ที่วัดตะเคียนรามในเวลาภพค่ำทางคณะลูกศิษย์ได้นำเครื่องรางที่นำติดตัวมาให้หลวงปู่ปลุกเสกอีกครั้งหลวงปู่ก็ได้ให้นำเครื่องรางทั้งหมดมาวางไว้บนพานแล้วให้ทุกคนไปพักผ่อนตามสบาย,,,ในช่วงเวลาที่คณะลูกศิษย์พักผ่อนอยู่นั้นได้เกิดมีเสียงช้างร้องจนมีหลายคนตื่นขึ้นมาและมีเสียงนกเอี้ยงร้องดังมาก,,,แต่บางคนบอกว่าเสียงร้องนั้นน่ากลัวกว่าเสียงช้างและทุกคนก็ได้นอนต่อและสงสัยกับเสียงนั้น,,พอตื่นขึ้นมาตอนเช้าคณะลูกศิษย์ก็ได้มาเล่าเรื่องที่เกิดกลางคืนให้กันฟังแล้วถามว่าได้ยินเสียงดังกล่าวนั้นทุกคนหรือเปล่า,,,สรุปแล้วได้ยินเกือบทุกคน,,แต่บางคนกลัว
ถามชาวบ้านแถวนั้นทุกคนบอกเสียงเดียวกันเลยว่าไม่มีช้างซักตัวผ่านมาแถวนี้เลย และก็ไม่มีคนในหมู่บ้านเลี้ยงช้างเลย คณะลูกศิษย์ก็เกิดความสงสัย แต่ก็ได้นอนต่ออีกหนึ่งคืนแต่คืนนี้เงียบ หลับสบายพอตื่นมาตอนเช้าก็ได้กราบลาหลวงปู่กลับกรุงเทพฯ คณะลูกศิษย์ทุกคนที่เอาวัตถุมงคลไปใส่ในพานเพื่อให้หลวงปู่ปลุกเสกนั้น ได้รับของกลับคืนมาจากหลวงปู่ ทุกคนก็ตรวจสอบวัตถุมงคลของแต่ละคน แต่ปรากฏว่ามีล็อคเก็ตของลูกศิษย์ท่านหนี่ง ด้านหลังมีพระพิฆเนศติดอยู่ และมีรูปหล่อลอยพระพิฆเนศองค์เล็ก ที่อยู่ในพานเลยถามว่าเป็นของใคร มีคนตอบมาว่าเป็นของลูกสาวของคณะลูกศิษย์ที่ได้เดินทางไปด้วย ที่เอาไปใส่ไว้ในพานตอนหลัง แล้วคณะลูกศิษย์ก็ได้ถามหลวงปู่ แต่หลวงปู่ก็ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ยิ้มเฉย ๆ ในขณะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ก็ได้แวะไปนมัสการหลวงปู่คี วัดศรีจำลอง และหลวงปู่หงษ์วัดเพชรบุรีพร้อมกับคุยกันตลอดถึงเสียงช้างร้องกับนกร้องพอขับรถมาได้ประมาณครึ่งทางด้วยความสงสัยและอยากรู้มากทุกคนหันรถกลับมาที่วัดตะเคียนรามพอมาถึงวัดหลวงปู่ก็นั่งอยู่ที่กุฏิรอ คณะลูกศิษย์จึงถามถึงข้อสงสัย หลวงปู่ก็บอกเพียงว่า เสียงช้างนั้นเกิดจากองค์พระพิฆเนศที่อยู่ด้านหลังล็อคเก็ตของลูกสาวลูกศิษย์ ส่วนเสียงนกร้อง หลวงปู่บอกว่านกคงเห็นอะไรบางอย่างลงมา และคงจะรับรู้รับทราบ ในขณะที่ท่านได้อธิฐานจิตปลุกเสก หลวงปู่สายท่านได้ปฏิบัติกิจของพระผู้มีความเมตตาชอบช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากและท่านไม่เคยแบ่งชนชั้นวรรณะ
บูรพาอาจารย์ของหลวงปู่สายมีมากกว่า 50-60 ท่าน บูรพาจารย์บางท่านก็ได้มรณภาพไปแล้วแต่ก็มีส่วนน้อยที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็อายุมากแล้วบางท่านอายุย่างเข้า ถึง 80 ปี 90 ปีและ 100 ปี แล้ว ในส่วนของอาจารย์ที่เป็นฆราวาส แต่ที่จะขอเอ่ยนามคือพระอาจารย์ กุจ (มีวิชาเด่นในด้านอยู่ยง คงกระพัน ) พระอาจารย์ล้อม(มีวิชาเด่นในด้านแคล้วคลาด ปลอดภัย เมตตามหานิยม) ส่วนพระอาจารย์ มี จะมีวิชาเด่นทางด้านเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ อาจารย์มี นี่เองที่มีเรื่องเล่าเกิดขึ้นหลังจากที่อาจารย์มีได้ลาศิขาบท จากการเป็นพระไปเป็นฆราวาสแล้วก็ได้มีการแต่งงานและมีภรรยาถึง 15 คน ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันและกันเลย นี้ก็แสดงให้เห็นว่า อาจารย์มี ที่ท่านได้ร่ำเรียนวิชาอาคม มาจากเขมรนั้นมีวิชาอาคมที่เก่งกล้าท่านด้านเมตตามหานิยม และมหาเสน่ห์สูงและเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป

2 ความคิดเห็น:

  1. พอได้อ่านประวัติท่านแล้วยิ่งเกิดความเลื่อมใสและศัทธาในตัวท่านมากเพราะท่านเก่งทุกด้านด้วยวิทยาอาคมต่างๆไม่แปลกเลยครับท่านมีครูบาอาจารย์ถึง50-60ท่าน..

    ตอบลบ